บริจาค

เห็นว่า..บล็อกนี้ดี มีประโยชน์... โปรดสนับสนุนผู้ทำบล็อกได้ที่ พร้อมเพย์ 083-4616989
หรือบัญชี 002-1-70462-8 กสิกรไทย สาขาบางลำภู

สมาธิในพระไตรปิฎกฯ ๒

ในบทความ “สมาธิในพระไตรปิฎกฯ ๑” ผมได้วิพากษ์วิจารณ์งานวิจัยเรื่อง สมาธิในพระไตรปิฎกวิวัฒนาการการตีคำสอน เรื่อง สมาธิในพระพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาทในประเทศ” คณะผู้วิจัยก็คือ วริยา ชินวรรโณและคณะ

ผมได้วิพากษ์ไปว่า คณะผู้วิจัยนำเนื้อหามาจากหนังสือเรื่อง “หลวงพ่อวัดปากน้ำกับอานุภาพวิชาธรรมกาย” ซึ่งเขียนโดย ยงยุทธ วิริยายุทธังกูร

หนังสือของคุณยงยุทธ วิริยายุทธังกูรนั้น ไม่ควรที่จะนำไปอ้างอิงในงานวิจัยเลย  ไม่ควรอย่างยิ่ง เพราะไม่ใช่หนังสือวิชาการ  ไม่เป็นหนังสือที่ควรได้รับการยอมรับกันในทางวิชาการ ไม่ว่าจะมองในแง่มุมไหน

ความเป็นวิชาการ ไม่มี ความรอบรู้ในเนื้อหาวิชาธรรมกาย ก็ไม่มี

ต่อไปจะเป็นการวิพากษ์วิจารณ์ในประเด็นที่ 2

เนื้อหาที่จะเป็นโจทย์ให้วิพากษ์วิจารณ์ก็ข้อความนี้

ขั้นปฏิบัติภาวนาของวัดพระธรรมกายนี่ เป็นเพียงขั้นสมถะกรรมฐานยังไม่เป็นวิปัสสนากรรมฐาน

ตรงนี้ต้องขออธิบายเพิ่มเติมก่อนว่า ทำไมในเมืองไทยจึงชอบแบ่งว่า สายแกเป็นสมถะ ไปนิพพานไม่ได้ สายฉันเป็นวิปัสสนา ไปนิพพานได้

เรื่องของเรื่องมันเกิดจากความเข้าใจผิดของพระพม่าที่อ่านคัมภีร์วิสุทธิ มรรคและพระอภิธรรมไม่แตก เลยพาสานุศิษย์เข้ารกเข้าพงกันไปเป็นจำนวนมากมายมหาศาล

พระพม่าเมื่อศึกษาคัมภีร์วิสุทธิมรรคก็เข้าใจผิดไปว่า วิปัสสนาแต่เพียงอย่างเดียวสามารถทำให้บรรลุพระอรหันต์ได้ คือ ไปเข้าใจผิดกับคำว่า วิปัสสนาญาณ” 

พระพม่าชอบศึกษาพระอภิธรรมมากเป็นพิเศษ  เมื่อไปพบว่า ข้อความในส่วนท้ายของมหาสติปัฏฐานสูตรที่ว่า  ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ผู้ใดผู้หนึ่ง พึงเจริญสติปัฏฐาน 4 นี้ อย่างนี้ ตลอด 7 ปี 7 เดือน 7 วัน

ก็เข้าใจผิดคิดว่า มหาสติปัฏฐานสูตรแต่เพียงอย่างเดียวสามารถทำให้บรรลุพระอรหันต์ได้ ซึ่งเป็นความใจผิดเป็นอย่างมหันต์เลยทีเดียว

ตรงนี้ต้องเข้าใจเรื่อง ธรรมชาติของการสื่อสารเสียก่อน จึงจะเข้าใจพระสูตรนี้ได้ คือ ในการสื่อสารกันนั้น ในทางทฤษฎีมันจะมีข้อความอยู่ 2 ส่วน คือ ข้อความเก่า (old information) กับข้อความใหม่ (new information)

ข้อความเก่านั้น ส่วนใหญ่คนที่สื่อสารกันอยู่นั้น จะรู้กันอยู่แล้ว และมักจะไม่สื่อสารกันออกมา คือ ไม่พูดหรือไม่เขียนออกมา เพราะ ทั้งผู้ส่งสารและผู้รับสารรู้กันอยู่แล้ว

ดังนั้น บางทีเรานั่งฟังคนคุยกัน ทั้งๆ ที่เป็นคนไทยด้วยกัน หูไม่หนวก แต่เราก็ไม่เข้าใจว่า คนสองคนนั้น มันกำลังคุยกันเรื่องอะไร

ตัวอย่าง
ผมเอง ก่อนที่จะเข้ามาในแวดวงการปฏิบัติธรรมนั้น เป็นนักดื่มตัวยงเหมือนกัน วันหนึ่งเดินไปกับเพื่อน แล้วไปเจอเพื่อนของเพื่อนขับรถจักรยานยนต์สวนมา เพื่อนของเพื่อนคนนั้น พอผ่านมาใกล้ก็ตะโกนบอกว่า

เฮ้ย วันนี้ที่เดิม

เพื่อนของผมที่เดินด้วยกันก็พยักหน้า ทั้ง 2 คนสื่อสารกันแล้วเสร็จเพียงแค่คนหนึ่งขับรถจักรยานยนต์ผ่านมา อีกคนหนึ่งเดินผ่านไปเท่านั้น

ข้อความก็มีเพียงแต่ว่า เฮ้ย วันนี้ที่เดิม  มันหมายความว่าอย่างไร

จะ เห็นว่า ข้อความใหม่ที่ว่า เฮ้ย วันนี้ที่เดิมต้องมีข้อความเก่าจำนวนมากมารองรับ ไม่อย่างนั้น ก็จะไม่เข้าใจเป็นเด็ดขาด ซึ่งเหมือนกับผมในขณะนั้น

ในความเป็นจริงไม่ใช่ผมไม่รู้เลยว่า ที่เขาสื่อสารกันนั้น มันหมายความว่าอะไร คือ รู้ว่า ทั้ง 2 คนนัดไปเจอกัน น่าจะไปดื่มเหล้า หรือสังสรรค์กัน ที่สถานที่แห่งหนึ่ง ในเวลาเดิมที่ไปเจอกัน แต่ไม่รู้ว่าเป็นที่ไหน เวลาไหน เพราะ ผมรู้แต่ข้อความใหม่ ไม่รู้เรื่องข้อความเก่า

กลับมาที่มหาสติปัฏฐานสูตร ในพระไตรปิฎกมีหลักฐานเป็นจำนวนมากเลยว่า พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์จะต้องบรรลุด้วยวิชา 3 ไม่มีใครกล้าเถียงเรื่องนี้

ดังนั้น การจะบรรลุพระอรหันต์นั้น ผู้ที่ฟังพระพุทธเจ้าตรัสสอนอยู่นั้น เข้าใจเป็นอย่างดี ดังนั้น พระพุทธองค์จึงไม่ต้องทรงกล่าวถึง 

ข้อความที่ว่า ถ้าปฏิบัติได้อย่างนี้จะบรรลุพระอรหันต์ภายใน 7 ปี 7 เดือน 7 วันนั้น ต้องผ่านวิชา 3 ด้วย ไม่ใช่ปฏิบัติเฉพาะมหาสติปัฏฐานสูตรเท่านั้น

โดยสรุป
ในบทความนี้ ผมต้องการจะวิพากษ์วิจาณ์ข้อความที่ว่า “ขั้นปฏิบัติภาวนาของวัดพระธรรมกายนี่ เป็นเพียงขั้นสมถกรรมฐานยังไม่เป็นวิปัสสนากรรมฐาน” แต่ยังไม่ไปถึงไหน เพราะ แชเฉือนไปอธิบายว่า ทำไมจึงมีการแบ่งสายปฏิบัติธรรมว่า สายโน้นเป็นสมถกรรมฐาน สายนี้เป็นวิปัสสนากรรมฐาน

อันที่จริง สายที่ชอบแบ่ง และชอบเบ่งอย่างนั้น เป็นสายปฏิบัติธรรมที่มาจากพระพม่า

พระพม่าชอบสติปัฏฐาน 4 และพระอภิธรรมอย่างไม่มีเหตุผล  คิดว่าปฏิบัติธรรมเพียงหัวข้อใด หัวข้อหนึ่งของสติปัฏฐาน 4 ก็สามารถไปนิพพานได้

การอ้างสติปัฏฐาน 4 นั้น เป็นการอ้างเพื่อจะนำคำว่า “วิปัสสนา” มาตกแต่งให้สูงเกินความจริง 



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น